* ความรักกับมนุษย์เป็นของคู่กัน *
ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่มีความรัก ทุกคนต้องมีความรัก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรารักอะไร เราหวังอะไร เข้าใจในความหมาย
ของคำเพียงสองคำนี้ได้อย่างลึกซึ้งแค่ไหน เท่านั้นเอง
ปกติในช่วงวันพักผ่อน กระผมก็จะได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนๆใน สำหรับเพื่อนที่เป็นสุภาพสตรีนั้น ส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของปัญหาความรัก แฟน สามี กระผมจึงได้นำข้อคิดเล็กๆน้อย สำหรับท่านที่มีความรัก
แต่ยังไม่เข้าใจในความรัก
ประเด็นก็คือ ก่อนที่เราจะรักใคร ต้องรู้จัก" วางแผน คิด ไตร่ตรอง " ก่อนเป็นขั้นแรก หลายท่านอาจมองข้ามขั้นตอนนี้ไป ซึ่งถึงแม้ความรักนั้น จะเป็นนามธรรม แต่การเตรียมตัวที่ดี
เราก็จะเข้าใจและ รักอย่างฉลาดได้
รักให้เป็น รักให้ถูกให้ควร แบ่งสัดส่วนให้ดี หลายๆท่านอาจเคยรักใครแล้ว ทุ่มเทสุดหัวใจ หลับหูหลับตารักจนเหมือนคนตาบอด จนลืมรักตัวเอง เมื่อถึงเวลานำพามาให้มีการจากลา ไม่ว่าจะเหตุอันใดก็ตาม ความเศร้า ความเสียใจ ก็มักจะรุนแรงตามมาเช่นกัน จนส่งผลให้ถึงขนาดทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง
ทั้งนี้ ก่อนที่เราจะเริ่มรัก ควรที่จะใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทาง นั้นคือ " เดินสายกลาง "
หรือเป็นกลางนั้นเอง รักมากไปก็ไม่ดี รักน้อยไปก็ไม่ดี
รักให้พอเหมาะพอควร
รักให้มีความสุข เฉลี่ยความรักให้เหมาะสม รักแฟน รักตัวเอง รักพ่อแม่ รักเพื่อนมนุษย์ ฯลฯ เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สองคน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รักและเข้าใจธรรมชาติของความรัก คือเข้าใจใน( วัฏจักรสังขารของมนุษย์ ความไม่เที่ยง และกฏแห่งกรรม )
หากทุกท่านเข้าใจในความรักอย่างแท้จริงแล้ว
ท่านก็จะมีความสุขเพราะความรัก
มากกว่ามีความทุกข์เพราะความรัก
____________________________
การทำธุรกิจ ขึ้นอยู่ว่า ประเภทไหน ทำอะไร ?
- เปิดโรงฆ่าสัตว์ หรือ ฆ่าเพื่อนำมาขายหรือกินเอง บาปน่ะก็บาปอยู่แล้ว แต่ทำเป็นอาจิณหรือไม่ รู้จักสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับเจตนาด้วย ถ้าเพื่อความจำเป็น เลี้ยงชีพทำมาหากิน และรู้จักสำนึกผิด ทำบุญอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้กับผู้ที่เราเบียดเบียน ก็ถือว่าบาปน้อยลงมาจากการล่าสัตว์ที่เป็นเกมกีฬา หรือ เพื่อความสนุกสนาน
- ส่วนการทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่มมึนเมาหล่ะ บาปไหม? อันนี้ก็ผิดศีลข้อ5ครับ ถือว่าเป็นการสนับสนุนให้คนผิดศีลข้อ5
- เปิดอาบอบนวดหละ ? 555+ ก็ กาเม ดีๆนี่แหละครับ ถือว่าสนับสนุนให้บรรดาสามีหลายๆท่านนอกใจภรรยา
แล้วเขาก็ถามต่อว่า แล้วถ้างั้นจะทำอะไรกินล่ะ ? ทำอะไรก็บาปไปหมด
- อันนี้ถ้าตอบย้อนในเรื่องของกฏแห่งกรรมแล้ว ก็คงเป็นอะไรที่ละเอียด ลึกซึ้งมากๆ แต่ในความจริงแล้ว ร่างกายที่เราเกิดมานั้น ไม่ใช่ของเรา(ตายก็เอาไปได้ที่ไหนล่ะ) มีเพียงแต่จิตวิญญานเท่านั้นที่เป็นของเรา กฏแห่งกรรมได้ให้เรายืมร่างกายอาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น ก็เพื่อสั่งสมบุญกุศล ทำความดี และชดใช้กรรม
ดังนั้น เราสามารถเลือกที่จะทำความดีได้ เมื่อเกิดมาแล้ว อาชีพอื่นๆที่ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นก็มีเยอะแยะ แต่ทำไมไม่เลือกที่จะทำหละ? ถึงจะบอกว่า เพื่อความอยู่รอดก็ตาม แต่กฏแห่งกรรมเขาไม่สนหรอกครับ ว่าคุณจะแก้ตัวอย่างไร เมื่อถึงเวลาก็ต้องรับกรรมกันไป ไม่มีใครไม่เคยไม่ได้ทำบาปในชีวิตเลยหรอกครับ ดังนั้น แม้จะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ก็อย่าประมาท อย่ามองข้ามในสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือการเบียดเบียนผู้อื่น ก็ให้พยายามหลีกเลี่ยง หรือถ้าจำเป็น อย่างน้อยต้องรู้จักสำนึกผิด หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา และภาวนา กรรมก็จะเบาบางลง
แล้วถามต่อว่า ถ้าทำธุรกิจทั่วๆไปที่ไม่ได้เกี่ยวกับการทำลายชีวิตผู้อื่นล่ะ บาปไหม?
- ก็ถือว่าเป็นบาปได้ เพราะอะไร? เพราะการทำธุรกิจถือว่าเป็นการเบียดเบียนอย่างหนึ่ง ถ้าเราขายได้ คู่แข่งสู้เราไม่ได้ ก็เจ๊งไงครับ ก็อาจจะส่งผลให้เขา เป็นหนี้เป็นสิน ล้มละลาย ลูกเมียก็ลำบาก อดอยากปากแห้ง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต บางทีอาจถึงขนาดฆ่าตัวตายเลยก็มีถมไป
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมหมั่นทำบุญทำทาน แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้ ผู้มีพระคุณ ศัตรู คู่แข่ง เจ้ากรรมนายเวรที่เราได้เบียดเบีียน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ชาตินี้หรือชาติก่อนด้วยนะครับ.
____________________________________
เรื่องกฏแห่งกรรม " อย่าคิดไปเอง "
ให้ศึกษาดีๆ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต
มีคนรู้จักท่านนึง เคยพูดกับกระผมว่า "เขาชอบ ยิงนก ตกปลา เป็นชีวิตจิตใจ" และกระผมได้ถามเขาว่า "ไม่กลัวบาปกลัวกรรมเหรอ ? "
เขากลับบอกว่า " คนกินก็บาปเท่ากันแหละ เราฆ่าเพื่อมาเป็นอาหาร คนฆ่า ก็บาปเท่าคนกิน "
อย่างนี้แสดงว่า ไม่ได้ศึกษากฏแห่งกรรม หรือธรรมะ เลย เพียงแต่ "คิดเองเออเอง ก็เท่านั้น"
" แน่นอน คนที่ฆ่า บาปกว่าแน่นอน "
เพราะคนที่ฆ่ามีเจตนาทำลายชีวิต
- เขาได้ฆ่าเพื่อประทังชีวิตด้วยความจำเป็นจริงๆหรือเปล่า?
- เขายากจนจริงๆหรือเปล่า?
- ทำไมเขาไม่ไปซื้อปลาที่ตลาดสดที่ตายแล้ว?
- เขามีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าขนาดนั้นเลยหรือ?
- แล้วถ้าเขาเข้าใจในกฏแห่งกรรม ทำไมเขาไม่หลีกเลี่ยงการทำลายชีวิตผู้อื่นด้วยตัวเองล่ะ ?
ก็เพราะหากแต่ส่วนหนึ่งในใจลึกๆของเขาได้กระทำจนเป็นนิสัย และเกิดความสนุกเคยชินจนคิดไปเองว่าเป็นเกมกีฬาไปเสียแล้ว
การฆ่าสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ถือว่าเป็นบาปหมด แต่การฆ่าสัตว์ใหญ่เป็นบาปยิ่งกว่า เพราะถือว่าต้องใช้ความพยายามในการฆ่า และยิ่งโดยเฉพาะกับสัตว์ที่มีคุณ ส่วนคนที่กิน อย่างน้อยเขาก็หลีกเลี่ยงการฆ่าโดยตรง เพียงแต่กินเพื่อประทังชีวิต
พระพุทธเจ้าท่านได้สอนว่า คนเราไม่ควรเลือกกิน ยิ่งเป็นพระ ถ้าชาวบ้านทำบุญใส่บาตรอย่างไรมาก็ควรฉันท์อย่างนั้น ฉันท์เท่าทีมี และไม่ควรกินอย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน เพราะการกินเนื้อสัตว์ ก็ถือว่าเราได้เบียดเบียนศพเขาอยู่ส่วนหนึ่ง
แต่อย่างไร ก็ต้องแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเพื่อเป็นการขอขมา ที่เราได้นำชีวิตเขาเพื่อต่อชีวิตให้เรา และอฐิษฐานปฏิญานว่า ข้าพเจ้าจะเป็นคนดี และจะมีชีวิตอยู่เพื่อจะสร้างบุญกุศลต่อๆไป.
ถ้าจะโทษว่ากฏแห่งกรรมนั้นละเอียดยิบย่อยเหลือเกิน ทำอะไรๆก็บาปไปหมด ก็คงต้องโทษผู้ที่สร้างกฏนี้ขึ้นมา (= =ฯ)
แต่ไม่ใช่ไปโทษพระพุทธเจ้านะ เพราะพระพุทธองค์ไม่ใช่ผู้สร้างกฏแห่งกรรม และพระพุทธองค์เองก็ไม่สามารถแก้ไขกฏแห่งกรรมนี้ได้เช่นกัน แม้ครั้งแรกที่พระองค์เสด็จไปเยือนนรกครั้งแรก เห็นสัตว์นรกทุกข์ทรมาน พระพุทธองค์ยังไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพียงได้แต่เวทนาเท่านั้น
" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม "
เพราะพระพุทธองค์ท่านก็เป็นเพียงศาสดาเอก ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองในเรื่องนี้ และได้นำมาถ่ายทอดแก่สัตว์โลกอย่างพวกเรา เพื่อให้ทราบวิธีหลุดพ้นจากกฏแห่งกรรม บ่วงกรรม ด้วยวิธีการสร้างบุญ กุศล " ทาน ศีล ภาวนา " เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพาน( ไม่ทุกข์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หลุดพ้นจากกรรม ) มีแต่ความสุขที่แท้จริง.
___________________________________________
By. kunawut
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น