วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558








    สวัสดีครับ+!! ผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน หลังจากที่ห่ายหายไปนาน เนื่องจากเจ้าของฺBlog ได้มีโอกาสเดินทางไปในที่ต่างๆ ได้ร่วมทำงาน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ผ่านชีวิตจริงต่างๆมาพอสมควร ได้เห็นโลก ได้เห็นสังคม ได้เห็นทุกข์ เห็นสุข เห็นปัญหาชีวิตของแต่ละคน แต่ละระดับ แต่ละอาขีพ ฯลฯ

    ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็ได้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆเรียบเรียงไว้ตลอด ในทุกๆเส้นทาง

    โดยผู้เขียน ยังคิดอยู่เสมอว่า " ต่อจากนี้ หากจะกลับมาเขียนบทความอีกครั้ง.. บทความที่ทำให้ผู้อ่าน เข้าใจถึงวิถีแห่งชีวิต วิธีเพิ่มเติมความสุข วิธีที่จะช่วยลดความทุกข์ในจิตใจลงได้ โดยใช้ธรรมมะเข้าสอดแทรกในการเขียน

" จะทำอย่างไรดี ?? จะเขียนอะไรดี ?? "

ก่อนหน้านั้น เจ้าของBlogคิดว่า โจทย์ที่ยากที่สุดในการเขียนบทความนี้ก็คือ  " เนื้อหาที่ผู้เขียน ต้องการจะสื่อถึงผู้อ่าน "

จะทำอย่างไร ? เมื่อเขียนแล้ว ทำให้เข้าถึงคนอ่านได้อย่างลึกซึ้งมากที่สุด !! โดยไม่ใช่เพียงแค่ อ่านจบไปแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ถูกลืมเลือน...

จะทำอย่างไร ? เมื่อเขียนแล้ว สามารถทำให้คนที่ไม่มีความสุข เช่น ท้อแท้ ทั้งในเรื่องการงาน, หนทางชีวิตไม่เป็นไปตามที่หวัง, หาทางออกปัญหาชีวิตไม่ได้, หรือ เมื่อความหวัง ไม่เป็นดังที่วาดฝันไว้
"เราจะช่วยคลายความทุกข์ได้อย่างไร"  

จะทำอย่างไร ? เมื่อเขียนแล้ว จะสื่อบทความความออกมา ให้เสมือนว่าเราได้เข้่าไปยืนในจุดที่เป็นปัญหา ของคนๆนั้น

จะทำอย่างไร ? เมื่อเขียนแล้ว บทความนั้นสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจวิธี หาความสุขที่มีอยู่รอบๆตัวเราได้

    หลังจากนี้ เมื่อทางเจ้าของBlog บริหารเวลาการทำงาน และภารกิจได้ลงตัวแล้ว ก็จะนำเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์ มาเขียนถ่ายทอดให้ผู้อ่านอีกครั้ง โดยจะเน้นเขียนบทความที่เป็นธรรมชาติ ความสุขรอบๆตัวที่เราสามารถไขว่คว้าด้วยตัวเองได้....
    เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น ได้ทำให้เจ้าของBlog ตระหนัก และเข้าใจถึง " ธรรมชาติ และความหมายของการใช้ชีวิต อย่างมีความสุข " และจะได้นำมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านเพื่อเป็นแนวทาง ในโอกาสต่อไปนะครับ.


** หายไปนานหลายปีเลย ต้องขออภัยผู้ที่อ่านที่ติดตาม และสอบถามปัญหาเข้ามาทางE-mail กันพอสมควร ซึ่งหากทางเจ้าของBlogว่างเว้นจากภารกิจงานแล้ว จะเข้าไปทยอยตอบกลับปัญหาให้เร็วที่สุดนะครับ.


วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ชีวิตถูกลิขิตโดยโชคชะตา







* ชีวิตถูกลิขิตโดยโชคชะตา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ * 

เชื่อไหมครับว่าชีวิตเราที่กำลังดำเนินกันอยู่ ล้วนแตกต่างกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน บางคนประสบความสำเร็จ บางคนล้มเหลว บางคนมีเพื่อนเยอะ บางคนไม่มีใครคบหา บางคนไม่สมหวังในเรื่องความรัก บางคนอยู่กินกันจนแก่เฒ่า ต่างๆนาๆ

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ถูกลิขิตโดยโชคชะตา/ดวงชะตา
ถ้าในทางพุทธศาสนา ก็จะเปรียบได้กับ กรรมลิขิต

ก็ดั่งเช่น ที่หลายๆคนเคยไปดูดวงมาตามรูปแบบต่างๆ บางคนดวงดี บางคนดวงไม่ดี ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นผลกรรมที่ได้ทำมาจากอดีตชาติ

แล้วเราจะเปลี่ยนโชคชะตาหรือกรรมลิขิตนี้ได้อย่างไร ?
เราสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรือกรรมลิขิตได้ไหม
ก็ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า  
" ดี ชั่ว อยู่ที่ตัวทำครับ "

ถ้าวิธีทางหลักศาสนาก็คือ หมั่นสร้างบุญ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้กรรมเบาบางลง /การทำสมาธิ วิปัสสนา ภาวนา เพื่อให้มีสติ เกิดปัญญา ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ฯลฯ
ถ้าวิธีในการดำเนินชีวิต ก็คือ การรู้จักคิดก่อนทำ ความตั้งใจจริง
มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ขยัน ซื้อสัตย์ อดทน ฯลฯ

ยกตัวอย่างนะครับ มีบางคนเกิดมาดวงดีตลอด มีดวงชะตาที่ดีมากๆ ไปไหนก็มีคนช่วยเหลือตลอด กินดีอยู่ดี ไม่เคยอดอยาก เรื่องเงินๆทองๆก็มีให้ใช้ตลอด แต่ด้วยความที่ลำพองใจในดวงชะตาของตน จึงกลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาการเอางาน ขาดความมานะ ขยัน อดทน ผลก็คือ ทำอะไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิต

 
อนาคตเราไม่สามารถรู้ได้ ถึงชีวิตจะถูกลิขิตมาอย่างไร เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ขึ้นอยู่ที่การกระทำของเราด้วย.




By .Kunawut

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555



ปัญหาชีวิต ทุกข์ สุข สิ่งที่ควรทบทวนคือ ?

" ค้นหาความจริงของชีวิต "


คนสมัยโบราณเมื่อเวลาทุกข์ใจก็จะแสวงหาความสงบด้วยการปลีกตัวออกจากบ้านหรือสถานที่วุ่นวายในบางคราวโดยไปเข้าวัดเข้าโบสถ์ เพื่อจะได้ค่อยๆคิด ทบทวน ศึกษาความจริง
แก้ไขปัญหาต่างๆโดยใช้ ปัญญา และ สมาธิ

สิ่งนี้เรียกว่า " การถืออุโบสถ "

ความสุข ความทุกข์ ที่เราพบเจอมา มันเกิดขึ้นอย่างไร ? เราควรที่จะหลีกเลี่ยง หรือเผชิญกับมันอย่างไร ? 

ฉะนั้น ในบางครั้งที่เราอาจไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือได้รับคำแนะนำ คำปรึกษาแล้ว แต่ไม่เห็นพ้องกับความคิดของเรา

เราจะแก้ไขมันได้อย่างไรดี ? 

ถ้ามีโอกาสได้ไปถือศีลฟังธรรมในวันอุโบสถ หรือหากตั้งใจไปหาความสงบ ไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ธรรมชาติ เพื่อพักผ่อนจิตใจอันว้าวุ่น ปลีกวิเวกจากตัวเมืองอันวุ่นวาย ก็ควรใช้เวลาว่างสำหรับนั่งคิดพิจารณาด้วยตัวเองดู ลองพูดกับตัวเองในใจ


* เมื่อมีสมาธิ ปัญญาย่อมเกิด *



By Kunawut

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555





4| | |ธรรมะกับเสียงดนตรี | | |3


ทุกท่านชอบฟังเพลง หรือ ฟังเสียงดนตรีบรรเลงกันไหมครับ ? 
ทุกคนต่างก็รักและมีเสียงดนตรีในหัวใจกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะดนตรีแนวไหน ต่างก็มีเอกลักษณ์และสื่อความหมายต่างกันออกไป อย่างน้อยในบางอารมณ์ บางความรู้สึก ก็หลายท่านต้องมีอารมณ์สุนทรีย์กันบ้าง ใช่ไหมครับ ^_^

" ถ้าคนใดไม่มีเสียงดนตรีในหัวใจ คนนั้นย่อมพิลึกนัก " 



และดนตรีกับพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกันไหม ? อย่างไร ? เหตุนี้มีคำถามเกิดขึ้นในใจกระผม ยามที่บรรเลงดนตรีอยู่ยามพักผ่อน กระผมจึงได้ศึกษาและมาบอกเล่าสู่กันฟังนะครับ


ดนตรีกับพุทธศาสนาในพุทธประวัติก็มีหลายตอนที่มาเกี่ยวข้อง เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยา จนร่างกายซูบผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็ทรงรำพึงคิดอยู่ ว่าพระองค์ควรจะทำอย่างไรต่อไป ก็มีเทวดามาดีดพิณให้ฟัง ดีดเส้นตึงไป เสียงก็ไม่ไพเราะ หย่อนไปก็ไม่ไพเราะ ถ้าตั้งพอดีๆ ก็ดีดไปมีเสียงไพเราะกังวาลเสนาะโสต ก็พลันคิดขึ้นมาได้ว่า พระองค์ควรดำเนินทางสายกลางจึงจะสำเร็จมรรคผลได้ จึงทรงหันมาบำรุงร่างกาย ให้มีพระกำลังวังชา แล้วปฏิบัติต่อไป จนสำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่สุด.....


ดนตรีก็มีจังหวะจะโคน มีกรอบให้บรรเลง ธรรมะ ก็มีแนวทางให้ปฏิบัติ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา/ทาน-ศีล-ภาวนา มีทางสายเอก-หนทางสายเดียวที่เป็นหนทางเดินที่ลัดสั้น ปลอดภัยในการปฏิบัติ คือ มหาสติปัฏฐาน 4 ได้แก่ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม.....ส่วนการที่นักดนตรีจะเล่น ออกลวดลาย ออกลูกเล่นอย่างไร.....หรือผู้สอนธรรม จะสอนอย่างไร วิธีใด ออกลูกเล่นแพรวพรายอย่างไร ก็สามารถทำได้ แต่ก็อยู่ในกรอบเส้นทางแห่งมรรควิถี-อริยสัจ-ปฏิจจสมุปบาท-ไตรลักษณ์เป็นหลักใหญ่ แล้วแต่ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญของผู้เล่น ผู้สอนแต่ละท่าน แต่ละองค์.....

ในหลวงของพวกเราคนไทย ซึ่งท่านทรงเป็นยอดอัจฉริยะทางดนตรีหลายๆแขนงทั้งครื่องเป่า และอื่นๆ ทั้งทรงเล่นเอง แต่งเอง เรียบเรียงเสียงประสานเอง ไปถึงระดับโลก ทรงสามารถเล่นกับนักดนตรีเอกๆของโลกได้สบายๆเท่าเทียมกับนักดนตรีอาชีพระดับโลก อันเป็นที่ยอมรับและยกย่องดังทราบกันดีอยู่ พระองค์ทรงกล่าวว่า พระองค์ไม่ได้เล่นด้วยตัวโน๊ต แต่ทรงเล่นด้วยใจ ใช้ใจเล่น.....จึงทำได้เป็นธรรมชาติสามารถเล่นกับวงบิ๊กแบนด์ระดับชั้นนำของโลกได้หลายๆชั่วโมง เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลก......ถ้าจะเปรียบกับการใช้วรยุทธกำลังภายในของจีน ก็เข้าทำนอง "กระบี่อยู่ที่ใจ" ฉันนั้น






เสียงเพลงเกี่ยวข้องกับธรรมะอย่างไร?
เราจะทำอย่างไร จึงเอาเสียงเพลงมาให้เป็นประโยชน์ด้านการเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐานได้?
ความจริงแล้ว เสียงเพลงก็ดี เสียงขับประโคมดนตรีก็ดี การดูมหรสพก็ดี ย่อมเป็นปัจจัยให้เข้าถึง" โมกขธรรม"ได้โดยง่าย ถ้าเราดูเป็น คิดเป็น และพิจารณาเป็น!!!

ดังนั้น ดนตรี เสียงเพลง จึงเป็นสื่ออย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราเข้าใจในเนื้อหาของดนตรีนั้นได้ลึกซึ้งมากขึ้น และเกิดจินตนาการ คล้อยตาม ถึงแม้เสียงดนตรีนั้นจะไม่มีภาษาหรือผู้ขับร้องเลยก็ตาม

ถ้าเรารู้จักใช้สมาธิในการ ฟัง คิด เข้าถึง ความหมายของดนตรีนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันในการบรรยายธรรมจึงมีรูปแบบของเสียงเพลง ดนตรี เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง.



By Kunawut.

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ศรัทธา



   
คนเรานั้นมีความฝัน เราก็มีความฝัน ถ้าความฝันนั้นเป็นจริง ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ถ้าถ้าไม่เป็นจริง ก็เปรียบได้ดั่งความฝันอันเลือนลาง

  ในช่วงเวลาหนึ่ง หลายๆท่านคงสงสัยปัญหาชีวิตของตัวเอง ว่า ทำไมถึงไม่มีความสุข ไม่ลงตัวเหมือนคนอื่นกับเค้าซักที  มีแต่ย่ำแย่ มีแต่ความท้อแท้ มีแต่ปัญหาชีวิตรุมเร้า หลักๆก็ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว ความรัก 

    และมักจะเป็นกันช่วงตอนเรียนจบ หรือ ช่วงเข้าสู่วัยทำงาน 25-35 ทางแก้ปัญหานั้นก็ช่างมืดมนเหลือเกิน ไม่รู้จะพึ่งพาหรือขอคำปรึกษาจากใครดี  

    ทั้งนี้ หนทางสว่างนั้น ที่เป็นแรงผลักดันให้เราไม่สิ้นหวังอาจจะขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า  " ชีวิตไม่สิ้นหวัง"  เพราะถึงแม้จะสิ้นหวัง เจอเรื่องเลวร้ายมาขนาดไหน แต่มนุษย์เรา ย่อมจะพบกับความสุขหลังจากผ่านปัญหาเลวร้ายในชีวิตไปได้เสมอ " แปลกดีไหมครับ " และก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
   
   ทุกๆคน รวมไปถึงกระผม ก็คงจะเคยผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาเช่นกัน บางที....อาจจะเป็นช่วงวัยหรือช่วงเวลาที่ต้องชดใช้กรรมต่างๆมากที่สุดก็เป็นได้ ถ้าแนะนำหลักทางพุทธศาสนาก็คือ ควรหมั่นทำบุญ ทำทานทุกครั้ง เมื่อมีโอกาสนะครับ ส่วนสิ่งเลวร้ายก็ให้มันผ่านพ้นไป เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ แต่ไม่ควรเก็บมาคิดมาก อดทน หมั่นเพียร และสู้ต่อไป นึกถึงคนข้างหลังที่เขารักเรา และคนที่เรารัก

  กระผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะครับ มาก้าวเดินไปด้วยกัน ด้วยบทความที่จะกล่าวจากนี้ ที่กระผมมักจะท่องจำไว้เสมอ



ชีวิตที่เหลืออยู่นับต่อจากนี้  -จนถึง - วันสุดท้ายของชีวิต

เราขออุทิศ ทุ่มเท กายและใจเพื่อ บิดา มารดา คนที่รักทั้งหลาย และคนที่ต้องการความรักและการดูแล ปกป้องจากเรา เขาคือชีวิต ความหวัง และคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ของข้าพเจ้าในตอนนี้  

ถึงแม้ทางเดินของแต่ละคนจะต่างกัน แต่ศรัทธานั้นยังคงมีอยู่ในใจ 

แม้ความหวัง ที่เคยเปล่งประกาย สิ้นแสง

แม้หมดสิ้นความหวัง แต่ศรัทธา ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ

รอความหวังว่า สักวัน ความสุขและสิ่งดีๆจะปรากฏแก่เรา อย่างแน่นอน .





By Kunawut

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555





เนื่องจากข้อมูลมีการอัพเดทต่อเนื่อง จึงขอลบบทความเก่าๆ
ในหน้าเว็บ ที่ได้โพสไปแล้วออกตามสมควร
ทั้งนี้ จะเหลือบทความจากการโพส
ล่าสุด ประมาณ 3-4 บทความครับ

 เพื่อการเข้าสู่หน้าเว็บ Blog ที่รวดเร็วขึ้นนะครับ.


By Kunawut


การกินเจ และ มังสวิรัติ

มีหลายๆท่าน อยากจะถือศีลกิน เจ หรือ มังสวิรัติ ในช่วงเทศกาล หรือ ตามโอกาส แต่ยังไม่ได้ทราบข้อมูลในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ทั้งนี้ กระผมจะมาอธิบายรายละเอียดที่สำคัญให้ทราบกันนะครับ ^^

เจ กับ มังสวิรัติ  เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เหมือนกัน
แต่มีความแตกต่างกัน ดังนี้





  
อาหารเจ

- ต้องไม่มีเนื้อสัตว์
- ต้องไม่มีหอม กระเทียม ต้นกุยช่าย ผักชี และเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน ยาสูบต่างๆ ฯลฯ
เพราะถือว่าอาหารดังกล่าวทำให้เกิดกำหนัด หรือกระตุ้นให้เกิดกิเลสต่างๆ เช่น อารมณ์ รสชาติ

วัตถุดิบหลักในอาหารเจ คือ แป้ง เต้าหู้ ซีอิ๊ว ถั่วเหลือง ถั่วต่าง ๆ
และผักนานาชนิด ยกเว้นผักชนิดที่กล่าวมาแล้ว



สำหรับผู้กินเจที่เคร่งครัด
- น้ำมันพืชที่ใช้ต้องบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ 
- ไม่ใช้น้ำมันพืชสูตรผสม เช่น น้ำมันรำข้าวปนน้ำมันถั่วเหลือง
- ภาชนะที่ใส่อาหารเจก็ต้องเตรียมไว้เป็นพิเศษ ไม่ใช้ปะปนกับภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์

    ปัจจุบันอาหารเจได้รับการพัฒนารูปแบบขึ้นมาก มีการทำ “หมี่กึน” ที่ทำมาจากแป้งสาลีดัดแปลงให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเนื้อสัตว์ นำมาปรุงอาหาร สำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากเนื้อสัตว์ได้

      อาหารเจ จะกินกันในระหว่างเทศกาลกินเจ คือช่วงระหว่าง
วันขึ้น ๑-๙ ค่ำเดือน ๙ (ตามปฏิทินจีนก็ราวเดือนตุลาคม)ระยะเวลาประมาณ ๑๐ วัน หรือกินในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งผู้ที่กินเจเชื่อว่าการกินเจเป็นการได้บุญ

การกินเจ จะส่งผลให้ชีวิตประสบความสุขความเจริญ ทั้งเป็นการต่อชีวิตให้ยืนยาวต่อไป.       





_________________________________________________________________________________




 

 
อาหารมังสวิรัติ

หมายถึง การงดเว้นเนื้อสัตว์ (มังสะ=เนื้อสัตว์ วิรัติ=การงดเว้น) Vegetarian

ผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติจะมีสองกลุ่ม
กลุ่ม 1 ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังคงบริโภคไข่และนม
กลุ่ม 2 ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมทั้งไม่บริโภคไข่และนมด้วยอาหารมังสวิรัติ งดเนื้อสัตว์เหมือนกับอาหารเจ รวมทั้งเครื่องปรุงรสที่ทำมาจากสัตว์ เช่น กะปิ น้ำปลา

อาหารมังสวิรัติ จะต่างกับอาหารเจตรงที่ ไม่ห้ามบริโภคกระเทียม หัวหอม ต้นกุยช่าย หรือผักที่มีกลิ่นแรงตลอดจนเครื่องเทศที่เผ็ดร้อน

อาหารมังสวิรัติสามารถบริโภคได้ทั้งปี 
ไม่มีเทศกาลเหมือนอาหารเจ

     ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติเชื่อว่า จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เพราะได้งดเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันและสารอื่น ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อจิตใจเพราะไม่จะเบียดเบียนชีวิตสัตว์
ทั้งหลาย.




_________________________________________________________________________________


* สรุปก็คือ *

การกินเจ คือ งดเนื้อสัตว์ ผักประเภทฉุน แล้วต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการถือศีลกินเจที่แท้จริง (จะกินช่วงเทศกาล)

มังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น ( กินได้ตลอด )



ทำไม ? อาหารเจ หรือ มังสวิรัติ บางแห่ง
ถึงมีไข่ไก่อยู่ด้วย

จริงๆแล้วเมื่อเราทานเจแล้วเราไม่ควรทานเพราะไข่เป็นอาหารที่มาจากสัตว์ แต่ที่กระผมได้ทราบข้อมูลมา มีหลายๆท่านที่ทานเจ บอกว่า
ให้ทานได้เฉพาะไข่ไก่เท่านั้น อย่างอื่นไม่เกี่ยว

เพราะว่า ไข่ไก่ที่ขายตามท้องตลาดนั้น
มิได้มีการปฏิสนธิ ( โดยธรรมชาติ แม่ไก่นั้นสามารถออกไข่ได้
โดยไม่ต้องปฏิสนธิหรือผสมพันธุ์ แต่ไข่ก็จะไม่สามารถฟักเป็นตัวได้
ดังเช่น ไข่ไก่ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ )





 เป็นการอนุโลมเท่านั้น เฉพาะเวลาจำเป็น ไม่สะดวก
อย่างเช่นการเดินทาง

หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเด็กที่ทานเจ
ซึ่งไข่นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการเจริญเติบโต
ทั้งทางสมองและร่างกาย.




_________________________________________________________________________________




     แต่หากจะถามว่าการทานแบบไหน ได้ประโยชน์กว่ากัน คงต้องขึ้นอยู่กับ โอกาส ความสะดวกของผู้ทานแล้วหละครับ..ว่าเหมาะสมหรือคู่ควรที่จะทานแบบไหน เพราะบางแห่งหาซื้อของกินลำบากมาก และไม่สามารถเลือกซื้อได้มากนัก


    และส่วนใหญ่อาหารและวัตถุดิบที่ขายกันตามตลาด มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์หรือผักฉุน แทบทั้งสิ้น แต่ถ้าจะถือศีลด้วย ก็ควรทานอาหารเจครับ.

สำหรับผู้ที่ทานเจ หรือ มังสวิรัติ เป็นประจำ ก็ควรทานโปรตีนเสริมด้วยนะครับ จะเป็นจำพวกถั่วเหลือง หรือ อาหารเสริมโปรตีน
แบบไม่มีเนื้อสัตว์ก็ได้ เพราะ หากขาดโปรตีน
เป็นเวลานาน จะทำให้เป็นโรคตัวบวมได้


    จะอย่างไร สำหรับการเลือกทาน อาหารเจ กับ มังสวิรัติ กระผมยืนยันได้ว่าทั้งสองอย่าง มีประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ครับ..แถมยังได้บุญอีกด้วยนะ.






************************************



By kunawut